วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ซอฟต์แวร์อ่านสมอง

อินเทลได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับอ่านสมองเพื่อให้รู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ จากการทดลองพบว่าโปรแกรมดังกล่าวมีความแม่นยำถึงร้อยละ 90 ประโยชน์ที่จะได้รับจากโปรแกรมที่ว่านี้ก็เช่น ทำให้คนพิการสามารถที่จะสื่อสารได้ หรือนำไปพัฒนาใช้เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยความคิด

ที่มา physorg.com

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ต่อกรกับ Botnet ด้วยระบบปฏิบัติการตัวใหม่

นักวิจัยจาก University of Illinois at Chicago กำลังพัฒนาหลักการของระบบปฏิบัติการที่จะมีความมั่นคง (security) และมีความเสถียรมากขึ้น ระบบปฏิบัติการนี้มีชื่อว่า Ethos OS ซึ่งเขาตั้งใจจะให้มันเป็นหลักการในการพัฒนาระบบปฏิบัติการยุคต่อไปซึ่งจะสามารถป้องไวรัส หรือโปรแกรมประสงค์ร้าย ต่าง ๆ โดย Ethos OS นั้นจะทำงานในลักษณะที่เป็นจักรกลเสมือน (virtual machine) โดยโปรแกรมที่ไม่ได้ต้องการเรื่องความมั่นคงก็จะทำงานไปตามปกติ ส่วนโปรแกรมที่ต้องการเช่นธนาคารออนไลน์ก็จะถูกควบคุมโดย Ethos OS ข้อดีของการมีระบบปฏิบัติการในลักษณะนี้ก็คือ นักพัฒนาโปรแกรมสามารถทุ่มเทเวลาให้กับตรรกกะของโปรแกรมได้โดยไม่ต้องสนใจกับ
ปัญหาเรื่องความมั่นคง

ได้อ่านแล้วอยากใช้ OS แบบนี้เร็ว ๆ จังครับ

อ้างอิง UIC News Bureau

ระบบติดต่อกับผู้ใช้แบบลูกผสม

ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาระบบต้นแบบการติดต่อกับผู้ใช้แบบใหม่ที่ใช้ได้ทั้งการสัมผัสด้วยมือ และใช้ปากกาเขียนได้ ระบบนี้เรียกว่า Manual Deskterity ซึ่งจากบทความต้นฉบับแสดงวีดีโอการใช้งานระบบดังกล่าว

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่เดียวครับ

อ้างอิง Technology Review

เทคโนโลยี Augmented Reality เพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยว

นักวิจัยยุโรปสร้างระบบ CINeSPACE ซึ่งเป็นอุปกรณ์แบบ Augmented Reality ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในรูปภาพในลักษณะที่เป็นสื่อผสม โดยเมืองต่าง ๆ ในยุโรปมีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่สำคัญในลักษะที่เป็นเสียง และในรูปแบบสารคดีอยู่มากมาย ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับเทคโนโลยีของ Augmented Reality จะทำให้นักท่องเที่ยวได้ประสบการณ์ที่ดีกว่าการเยี่ยมชมธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นระบบนี้ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถป้อนข้อมูลหรือความเห็นเกี่ยวกับสถานที่เข้าสู่ระบบได้ด้วย

อยากให้ประเทศไทยเริ่มต้นพัฒนาระบบนี้จังเลยครับ

อ้างอิง ICT Result

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

เราลืมสอนเรื่องการใช้ชีวิตให้นักศึกษากันหรือเปล่า

วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องราวที่อาจไม่เกี่ยวกับไอทีสักวันนะครับ และอาจจะดูเป็นการบ่น ๆ หรือระบายบ้าง คือในภาคการศึกษานี้ในมีเรื่องที่ผมอยากจะมาเล่าสู่กันฟังสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดในระหว่างที่ผมกำลังตัดเกรด และเรื่องที่สองเกิดขึ้นหลังจากผมตัดเกรดและทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศเกรดไปแล้ว

เริ่มจากเรื่องแรกครับต้องขอเกริ่นก่อนว่าในวิชาที่ผมสอนส่วนใหญ่แล้วผมจะให้โครงงานประจำวิชาด้วย ซึ่งโครงงานนี้จะให้ทำเป็นกลุ่มและนักศึกษาจะต้องมานำเสนอรายงานด้วย ซึ่งหลังจากที่นักศึกษาทุกกลุ่มนำเสนอรายงานเสร็จแล้วผมก็นำเอาคะแนนโครงการมารวมกับคะแนนสอบเพื่อที่จะตัดเกรด ขณะที่ผมไล่รายชื่อไปก็พบว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งที่ไม่มีรายชื่ออยู่กับกลุ่มใดเลย และคะแนนสอบของนักศึกษาคนนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางคือพอผ่าน แต่ถ้ารวมคะแนนโครงการเข้าไปเขาจะได้เกรดที่ดีขึ้น ผมจึงได้ประกาศให้นักศึกษาติดต่อผมผ่านทางอีเมล และเขาก็ติดต่อมาซึ่งผมก็ได้แจ้งไป และให้โอกาสเขาโดยบอกให้เขารีบทำงานมาส่งโดยผมจะให้ติด I ไว้ก่อน แต่คำตอบที่ผมได้รับคือเขาจะไม่ทำเพราะเขาไม่ได้ชอบสาขาที่เรียนอยู่ตอนนี้แต่พ่อแม่บังคับให้เรียน ขอแค่สอบผ่านก็พอใจแล้ว จากเรื่องนี้มีสองจุดที่ผมอยากจะพูดถึงครับ จุดแรกเรื่องพ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนในสาขาที่เขาไม่ชอบ คือพ่อแม่ก็หวังดีเห็นว่าสาขาทางคอมพิวเตอร์นี้จบออกไปแล้วมีงานทำแน่นอนมีเงินเดือนดี แต่ในความเป็นจริงคนที่เรียนคือลูกนะครับไม่ใช่พ่อแม่ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมพบว่ามีนักศึกษาหลายคนที่เป็นแบบนี้ครับ และส่วนใหญ่ที่จบไปก็เกรดไม่ค่อยดีนัก และบางคนก็ไม่ได้ทำงานในสาขานี้หรือไปเรียนต่อในสาขาอื่น ดังนั้นอยากฝากพ่อแม่ครับว่าอย่าบังคับลูกเลย ถ้าเขาได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบและเขามีความถนัดจริงผมเชื่อว่าเขาก็จะมีทางไปของเขาได้ จุดที่สองในส่วนของนักศึกษาเอง ผมอยากจะบอกว่าเมื่อเราได้ทำอะไรแล้วไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบเราก็น่าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด อยากให้นักศึกษามองไปไกล ๆ หน่อยครับอย่ามองแค่ใกล้ ๆ สมมติว่าถ้าต้องอดทนเรียนไปจริง ๆ ทำไมถึงไม่พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะเกรดที่เราได้ในวันนี้แน่นอนครับว่าจะมีผลต่อการเรียนต่อในสิ่งที่เราสนใจในอนาคตอย่างแน่นอน และไม่แน่ครับถ้าเราได้ตั้งใจทำให้ดีที่สุดแล้วเราอาจจะค้นพบก็ได้ว่า๊จริง ๆ เราก็ชอบสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่เหมือนกัน สรุปสิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับเรื่องนี้ก็คือสู้ครับทำทุกอย่างให้เต็มกำลัง

เรื่องที่สองหลังจากที่มีการประกาศเกรดแล้ว ผมก็ได้รับข้อความถามจากนักศึกษาว่าทำไมเขาจึงได้เกรดน้อย ทั้ง ๆ ที่ตอนกลางภาคเขาก็ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี ซึ่งตรงนี้ผมโอเคนะครับ คือผมยินดีที่จะให้นักศึกษาเข้ามาดูและมาสอบถามได้เสมอ เพราะผมก็อาจพลาดได้ แม้ว่าผมจะตรวจทานการป้อนคะแนนและการตัดเกรดถึง 3 ครั้ง ก่อนที่ผมจะส่งเกรดไป แต่สิ่งที่ผมทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยและตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เพราะนักศึกษาคนนี้ให้เบอร์โทรให้ผมโทรกลับ และบอกว่าถ้าอาจารย์ไม่ติดต่อกลับเขาจะเข้ามาหาในวันเสาร์ (จากนั้นมาขอแก้ไขบอกว่าจะเข้ามาวันอาทิตย์) ตกลงนักศึกษาคนนี้เขาเป็นเจ้านายผมหรือครับ เขาจะมาหาผมวันไหนที่เขาอยากมาก็ได้ (แม้แต่วันหยุด) และผมจะต้องมาพบเขาตามวันที่เขาระบุใช่ไหม นักศึกษาคนนี้ไม่ได้รับการสั่งสอนจากที่ใดมาเลยหรือครับว่าเวลาที่จะนัดหมายกับผู้ใหญ่จะต้องทำอย่างไร

นี่คือสองเรื่องที่เกิดขึ้นและผมก็เลยเกิดคำถามขึ้นว่าในการเรียนการสอนในปัจจุบันของเรานั้น เราเน้นกันที่จะให้แต่ความรู้วิชาการและแข่งขันกันด้วยเกรดอย่างเดียว จนลืมที่จะอบรมให้เด็กให้เป็นคนที่มีความรอบรู้ มีคุณธรรมจริยธรรม และสู้ชีวิตหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเอามาแบ่งปันกันในวันนี้โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ เพราะผมคิดว่าจะใช้กรณีตัวอย่างนี้ในการสอนลูกผมเช่นเดียวกัน