วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตำแหน่งงานด้านคอมพิวเตอร์ของอเมริกาในอีก 7 ปีข้างหน้า

สวัสดีครับ สัปดาห์นี้ได้อ่านข่าวจาก InfoWorld เรื่องเกี่ยวกับความต้องการตำแหน่งงานด้านคอมพิวเตอร์ในอเมริกา ซึ่งเขาบอกว่าอัตรางานด้านนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีนี้  โดยเฉลี่ย 22 % ในปี ค.ศ. 2020 โดยตำแหน่งงานที่จะเพิ่มมากสุดห้าอันดับแรกคือ

  1. นักพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ จะมีความต้องการเพิ่มขึ้น 32%
  2. ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล จะมีความต้องการเพิ่มขึ้น 31%
  3. นักพัฒนาแอพพลิเคชัน เพิ่มขึ้น 28%   
  4. ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย เพิ่มขึ้น 28% 
  5. นักวิเคราะห์ระบบ เพิ่มขึ้น 22%
ส่วนอันดับอื่น ๆ ก็ติดตามจากข่าวนะครับ แต่ที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งจากข่าวก็คือเงินเดือนในปัจจุบันของงานด้านต่าง ๆ ครับ ในห้าอันดับนี้ที่สูงสุดคือ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ 100,420 เหรียญสหรัฐต่อปี รองลงมาคือ นักพัฒนาแอพพลิเคชันครับอยู่ที่ 92,080 เหรียญสหรัฐต่อปีครับ อันดับถัดมาก็คือนักวิเคราห์ระบบ ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล  และผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย โดยจะมีเงินเดือน 82,320 77,350 และ 74,720 เหรียญสหรัฐต่อปีตามลำดับ แต่อัตราเงินเดือนสูงสุดไม่ได้อยู่ในห้าอันดับนี้นะครับ อัตราเงินเดือนสูงสุดคือตำแหน่งผู้จัดการด้านคอมพิวเตอร์และสารสนเทศครับอยู่ที่ 125,660 เหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งตำแหน่งนี้จะมีความต้องการเพิ่มขึ้น 18 % ในปี 2020 และผมก็เลยถือโอกาสแอบดูตำแหน่งานด้านวิจัยด้วย ซึ่่งได้รายได้ไม่เลวนะครับ 103,160  เหรียญสหรัฐต่อปี และจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น 19% ครับ 

ถึงตรงนี้อาจมีคำถามว่าผมเอามาเล่าให้ฟังทำไม นี่มันเป็นตำแหน่งงานในอเมริกาของเราอาจไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้ ก็จริงครับประเทศเราอาจไม่เป็นไปตามนี้ แต่จากที่ผมได้ติดตามข่าวมาประเทศอเมริกาและประเทศในยุโรปเขาขาดแรงงานด้านนี้นะครับ เนื่องจากมีคนเรียนด้านนี้น้อยกว่าความต้องการของตลาด ดังนั้นเขาจึงมีความพยายามที่จะปรับหลักสูตรให้มีการเรียนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ในระดัยมัธยมกันเลยทีเดียวเพื่อหวังว่าจะสร้างบุคลากรด้านนี้เพิ่มขึ้น ในปัจจุบันนี้ประเทศอย่างอเมริกายังต้องใช้การจ้างแรงงานการเขียนโปรแกรมจากต่างประเทศ และยังมีความต้องการจากบริษัทคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่ต้องการให้ออกวีซ่าให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมด้านคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น 

ในส่วนตัวผมคิดว่าเขาน่าจะสร้างบุคลากรเพื่อรองรับความต้องการในปี 2020 ไม่ทันครับ เพราะตอนนี้ก็ยังมีคนทำงานไม่พอเลย ดังนั้นนี่อาจเป็นโอกาสของพวกเรา ผมคิดว่าบุคลากรที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับมาตรฐานของไทยมีความสามารถไม่เป็นรองใคร ปัญหาหลักที่เรามีก็คือเรื่องภาษาอังกฤษ ซึ่งถ้าแก้ตรงนี้ได้ และมีการปรับหลักสูตรในระดับมัธยมของเราให้มีการเรียนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์เข้าไปด้วย เราน่าจะมีบุคลากรด้านนี้เป็นสินค้าส่งออกเข้าไปทำงานในตำแหน่งดังกล่าว หรืออย่างน้อยเราก็น่าจะเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้รับจ้างงานพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย 

ดังนั้นคนที่ทำงานอยู่ในสาขานี้ หรือกำลังเริ่มต้นเข้ามาสู่สาขาอาชีพนี้ มาพัฒนาตัวเองให้พร้อมสำหรับโอกาสที่กำลังจะเข้ามากันเถอะครับ อย่าปล่อยให้งานนี้ตกไปเป็นของสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้กระทั่งเวียดนาม โดยเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เลยครับ...

สรุปข่าวงานวิจัยด้านไอที 11-15 ก.พ.56

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Nothing but trouble

สวัสดีครับ เวลาผ่านไปไวมากตอนนี้ปีใหม่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ผมยังแทบไม่ได้ทำอะไรที่วางแผนไว้เลยรวมถึงเรื่องที่ว่าจะอัพบล็อกนี้ให้ได้สักอาทิตย์ละเรื่อง จริง ๆ ในเดือนแรกของปีก็มีอะไรที่อยากจะเขียนถึงอยู่นะครับ แต่พอไม่มีเวลาเข้าเรื่องมันก็ผ่านไปจนหมดความน่าสนใจไปแล้ว และบางครั้งก็ลืมไปด้วยว่าตั้งใจจะเขียนเรื่องอะไร เฮ้อผมถ้าจะแก่แล้วจริง ๆ เอ้ากลับมาที่เรื่องที่จะเขียนวันนี้ดีกว่า บอกตามตรงว่าคิดหัวข้อภาษาไทยไม่ออก แต่พอดีคิดถึงหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งที่เคยดูสมัยยังเป็นหนุ่ม (มากกว่าตอนนี้) ได้ ก็คือเรื่อง Nothing but trouble และคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่จะมาเล่าให้ฟังวันนี้ครับ สำหรับเรื่อง Nothing but trouble นี่มีดาราดังอย่าง Demi Moore เล่นด้วยนะครับ แต่เป็นหนังที่ผมคิดว่าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร เท่าที่จำได้คร่าว ๆ ก็คือเรือง ๆ ของเรื่องมันเริ่มจากเรื่องที่ไม่น่าจะมีอะไร จากการทำผิดกฏจราจรในเรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไม่ได้หยุดรถที่ป้ายหยุดในเมืองเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีรถวิ่ง แล้วก็นำไปสู่เรื่องไร้สาระมากมาย ผมลองไปค้นดูพบว่า Wikipedia เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านดูได้ตามลิงก์นี้ครับ Nothing but trouble (1991 film)

แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องของพนักงานในร้าน Applebee ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารในอเมริกาถูกไล่ออกด้วยสาเหตุมาจากการที่ไปโพสต์รูปใบเสร็จที่มีลายเซ็นและข้อความของลูกค้าที่แสดงความไม่พอใจที่มีการคิดค่าทิปอัตโนมัติ โดยลูกค้าคนดังกล่าวรู้สึกว่าจะเป็นบาทหลวงเสียด้วยครับ นี่คือรูปเจ้าปัญหาที่ถูกโพสต์ขึ้นไปครับ
ภาพจาก http://news.yahoo.com/blogs/sideshow/applebees-waitress-fired-pastor-receipt-193820748.html
จากรูปจะเห็นว่าลูกค้าไม่พอใจและขีดฆ่าค่าทิปออก และยังเขียนข้อความเชิงประชดประชันว่าฉันให้พระเจ้าแค่ 10% ทำไมเธอถึงจะได้ 18% ล่ะ นอกจากนี้ยังเขียนคำว่า Pastor ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะหมายถึงบาทหลวงอยู่เหนือลายเซ็นด้วย

ซึ่งพนักงานคนหนึ่งได้โพสต์รูปนี้ขึ้นไปที่ reddit โดยเธอบอกว่าเธอไม่มีความตั้งใจจะโพสต์เพื่อต่อว่าลูกค้าหรือประจานอะไร แต่เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีและอยากจะแบ่งปันไปทั่ว ๆ โดยเธอได้ชี้แจงว่าการที่ค่าทิปถูกคิดอัตโนมัติ เพราะถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่มเกินแปดคนระบบจะคิดค่าทิปอัตโนมัติเธอไม่ได้เป็นคนคิด และลูกค้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเธอยังชมว่าเธอทำงานดีด้วยซ้ำ ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจ่ายทิปก็แค่นั้น  

แต่เรื่องราวกลับมาเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะว่าหลังจากรูปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ลูกค้าคนดังกล่าวก็ได้มาร้องเรียนกับผู้จัดการร้านว่ารูปดังกล่าวทำให้เขาได้รับความอับอาย เพราะลายเซ็นของเขาบนใบเสร็จใบนั้นมีคนหลายคนที่จำได้ เป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาต่อชุมชน ซึ่ง Applebee ได้ตอบสนองต่อคำร้องเรียนนี้ด้วยการไล่พนักงานคนดังกล่าวออกครับ ย้ำอีกทีครับว่าไล่ออก ด้วยเหตุผลละเมิดความเป็นส่วนตัว 

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกกันอย่างไรบ้างครับ เรื่องทีเกิดขึ้นมันเริ่มจากเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ ในยุคนี้ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเราที่จะแชร์โน่นแชร์นี่ขึ้นอินเทอร์เน็ต แต่จากตัวอย่างนี้เราก็คงต้องระมัดระวังกันให้มากขึ้นแล้วล่ะครับ และผมก็เห็นว่าตอนนี้คนไทยก็เริ่มระวังกันมากขึ้นนะครับ อย่างที่เห็นล่าสุดก็คือมีการถ่ายรูปรถที่เป็นพวกจอมปาด (ไม่ใช่ปราชญ์) ชอบมาแซงคิวเขาขึ้นสะพานในขณะที่คนอื่นเขาต่อคิวกันอยู่ ก็มีการเบลอป้ายทะเบียนไว้

สุดท้ายก็คงสรุปว่าในต่างประเทศเขาให้ความเคารพสิทธิของลูกค้าและความเป็นส่วนตัวกันค่อนข้างมากนะครับ ถ้าเทียบกับประเทศเราแล้วก็คนละเรื่องกันเลย แต่กรณีนี้ถึงกับไล่ออกเลยผมว่ามันก็อาจจะมากไปหน่อยหรือเปล่า เพราะถ้าดูแล้วพนักงานก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เสียหาย และข้อความที่อยู่ในใบเสร็จในสายตาผมก็ไม่ใช่ข้อความที่จะทำให้ชื่อเสียงของคนเขียนเสียหายอะไร หรือจะเป็นเพราะคนเขียนเป็นบาทหลวงแต่มาสารภาพว่าให้พระเจ้าแค่ 10% เดี๋ยวชาวบ้านจะไม่นับถือ...      

ที่มา Yahoo News!