วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มองย้อนปีเก่า 2554 พร้อมก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2555

ก่อนอื่นก็ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่ก่อนนะครับ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง และประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาที่เป็นสิ่งดี ๆ ครับ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ ครับ เหมือนกับเพิ่งผ่านบรรยากาศปีใหม่ปีที่แล้วไปไม่นานนี้เอง ช่วงที่ผมหนีน้ำท่วมไปอยู่บ้านพี่สาวของภรรยาเมื่อเดือนที่แล้ว เห็นป้ายที่หมู่บ้านเขียนเชิญชวนร่วมงานปีใหม่ ตอนแรกผมนึกว่าเป็นป้ายเก่าที่ยังไม่ได่้เก็บ แต่พอเดินเข้าไปดูเออนี่มันของใหม่นี่ และ (ตอนนั้น) มันเดือน พ.ย. แล้ว

ถ้าย้อนกลับไปดูปีที่กำลังจะผ่านไปจะเห็นว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายเริ่มตั้งแต่มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่  และเราได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก จนมาถึงมหาอุทกภัยที่สร้างความเดือนร้อนไปทั่วประเทศ สิ่งที่ผมได้เห็นจากเหตุการณ์เหล่านี้ประเด็นใหญ่ก็คือ นักการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมถึงข้าราชการประจำของเราหลายคนยังไม่มีคุณภาพ การแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ที่น่าภาคภูมิใจก็คือบรรดาจิตอาสาทั้งหลายซึ่งหลายคยเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งในตอนที่สถานการณ์ปกติพวกผู้ใหญ่หลายคนอาจจะรู้สึกหนักใจ เพราะเห็นว่าพวกนี้เป็นเด็กไร้สาระเอาแต่เล่นเกมเล่นเฟซบุ๊ค แต่พอถึงสถานการณ์พวกเขาก็แสดงพลังให้เห็นโดยไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย ดีกว่าผูํ้ใหญ่บางคนที่ยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ

แต่สิ่งที่ผมหนักใจมากที่สุดก็คือการแสดงความเห็นและข้อมูลที่ส่งผ่านกันผ่านทางเครือข่ายสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแตกแยกในสังคมนั้นยังคงมีอยู่ หลาย ๆ คนแสดงความเห็นต่อข้อมูลที่ได้เห็นด้วยความรวดเร็วโดยขาดการไตร่ตรอง การแสดงความเห็นนั้นหลาย ๆ ครั้งเกิดจากอคติส่วนตัวของตัวเอง คือถ้ามีข้อมูลที่ไม่ดีเกี่ยวกับฝ่ายที่ตัวเองไม่ชอบ ก็พร้อมที่จะช่วยถล่มซ้ำ ในขณะที่ฝ่ายที่ตัวเองชอบจะทำอะไรผิดพลาดก็พร้อมที่จะมองข้ามไปหรือหนักกว่านั้นก็ไปกล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากอีกฝั่งหนึ่ง หลาย ๆ ครั้งข้อมูลบางอย่างที่ได้มาถ้าทำใจเป็นกลางก็อาจฉุกคิดสักหน่อยได้ว่าเอมันจริงหรือ

ที่หนักไปกว่านั้นความรู้สึกของคนเมืองที่นึกว่าตัวเองฉลาดกว่าคนชนบทก็ยังมีอยู่ และแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งผ่านทางความเห็นประเภทเพราะคน ... เลือกคน ... เข้ามาบริหารประเทศถึงได้เป็นอย่างนี้ ทั้งที่ความจริงฝ่ายที่ตัวเองคิดว่าดีกว่าก็เคยทำหน้าที่มาแล้ว และจริง ๆ ก็ไม่ได้ดีกว่า บางคนที่เป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม ถึงกับหลุดด่าคำรุนแรงอย่างคำว่าโง่ออกมา และก็มีแนวร่วมเข้าไปช่วยกันซ้ำแถมเชียร์ว่าเป็นคนเก่งคนกล้า ทั้งที่การกระทำอย่างนั้นไม่น่าจะได้รับความชื่นชมแต่อย่างใด ผมไม่ได้บอกว่าจะตำหนิหรือวิจารณ์การทำงานไม่ได้นะครับ เพราะผมก็ติไปเยอะ แต่จะติก็ให้ติไปที่ผลงานของเขา อย่าไปติหรือจิกหัวด่าไปที่ตัวบุคคล ถามตัวเองครับว่าคุณเป็นใครมีสิทธิอะไรไปจิกหัวด่าเขา หรือไปเรียกผู้บริหารบ้านเมือง (กทม.) ว่าไอ้เอ๋ออย่างนี้นี่มันอะไรกัน ถ้ามีใครมาเรียกคุณอย่างนี้บ้างมาด่าคุณว่าโง่บ้างคุณรู้สึกอย่างไร ถ้าจะให้ดีติแล้วเสนอทางแก้ที่คิดว่าน่าจะดีกว่าออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีคำพูดประเภทว่าดูซิปล่อยปละละเลยให้น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ให้น้ำท่วมเมืองหลวง ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าเขาพยายามป้องกันอยู่ แต่ด้วยความผิดพลาดหรือไร้ประสบการณ์อะไรก็ตามทำให้มันไม่สำเร็จ

เอาล่ะครับนั่นมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วเรามามองไปปีหน้ากันดีกว่า เริ่มจากในหลวงของเราครับ ผมหวังว่าพระองค์ท่านจะหายจากอาการประชวรมีพระวรกายที่สมบูรณ์ และเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยต่อไปตราบนานเท่านาน

ส่วนเรื่องภัยธรรมชาตินั้นผมก็หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นร้ายแรงแบบนี้อีก และถ้าเกิดอีกก็หวังว่าภาครัฐจะเอาอยู่จริง ๆ เสียที

ส่วนนักการเมืองก็ขอให้ทำงานโดยเลิกเล่นการเมืองให้นึกถึงประชาชนเป็นหลัก เลิกโต้เถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ  ข้าราชการก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถอย่าเล่นการเมืองตามไปด้วย ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมก็ขอให้ปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคกันอย่าหลายมาตรฐาน เฮ้อรู้สึกว่าความหวังในส่วนนี้แต่ละข้อน่าจะเป็นไปได้น้อยสุด เอาน่าตั้งความหวังไว้ก่อน


ในส่วนเรื่องความแตกแยก ผมหวังว่าเราเริ่มจากตัวเองก่อนครับ ก่อนจะโพสต์อะไรก็คิดก่อนว่าการโพสต์อย่างนั้นมันได้ประโยชน์อะไรบ้างนอกจากความสะใจ ได้ข้อมูลอะไรมาก็ไตร่ตรองเสียหน่อยหรือตรวจสอบจากหลาย ๆ ทาง หาความรู้ครับว่าสื่อไหนเอียงไปข้างไหน การโพสต์ที่มุ่งโจมตีบุคคล หรือก่อความแตกแยกก็ควรจะเลี่ยงเสีย เวลาอีกฝ่ายหนึ่งจะทำอะไรก็อย่าคิดแต่ค้านอย่างเดียว ลองรับฟังเหตุผล และประเด็นที่เขาต้องการสื่อออกมาดูบ้าง ถ้าทำได้อย่างนี้ผมว่าประเทศของเราจะสงบมากขึ้น และกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้

ในด้านส่วนตัวเราเองผมว่าพวกเราหลายคนคงตั้งปณิธาณปีใหม่กันแล้วนะครับ ผมก็เช่นกันแต่เวลาปีหนึ่ง ๆ นี่ผ่านไปเร็วมากมีสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำในปีนี้หลายอย่างที่ผมยังทำไม่ได้ ซึ่งถ้าจะแก้ตัวก็น่าจะบอกว่างานเยอะ แต่ปัญหาจริง ๆ น่าจะเกิดจากการบริหารเวลาที่ไม่ดีมากกว่า ก็ตั้งใจว่าปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้จะพยายามทำให้ได้ รวมถึงปรับปรุงนิสัยบางอย่างที่คุณภรรยาออกมาตำหนิด้วย (ไม่ต้องถามนะครับว่าเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ทำการบ้านหรอกครับ ;) )

สำหรับปณิธานเรื่องบล็อก จริง ๆ ผมเป็นคนชอบเขียนชอบเล่านะครับ แต่ด้วยการบริหารเวลาที่ไม่ดีทำให้ไม่สามารถจัดสรรเวลามาเขียนได้มากอย่างที่ตั้งใจ ก็หวังว่าปีใหม่นี้จะเขียนได้มากขึ้น และก็หวังว่ายังจะมีคนอ่านอยู่นะครับ ^^ สำหรับบล็อกนี้ก็จะเน้นไปที่เรื่องทั่ว ๆ ไป หรือเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่ผมพบเจอมาแล้วอยากมาเล่าให้ฟังเหมือนเดิม ส่วนเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ตั้งใจว่าจะไปเปิดขึ้นมาอีกบล็อกหนึ่ง โปรดติดตามครับ บล็อกสรุปย่อเกี่ยวกับงานวิจัยทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้วจะอัพเดตมากขึ้นอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และเพิ่งไปเปิดบล็อกเกี่ยวกับทีมโปรดลิเวอร์พูลขึ้นมาเมื่อสักอาทิตย์ก่อน ก็ขอเชิญแฟนหงส์ติดตามไปร่วมแสดงความเห็นได้ครับ

นั่นคือการมองย้อนกลับไปในปีเก่าและเตรียมพร้อมสำหรับปีใหม่ในมุมมองของผมครับ เขียนเสร็จก็เกือบจะปีใหม่พอดี สวัสดีปีใหม่ 2555 ครับ



วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขั้นตอนวิธีที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระบบคลาวด์

นักวิจัยจาก Weizmann Institute และ Massachusetts Institute of Technology (MIT) กำลังจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาขั้นตอนวิธีในการใช้งานข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสอยู่โดยไม่ต้องถอดรหัสก่อน และหลังจากประมวลผลแล้วยังสามารถสร้างผลลัพธ์ที่อยู่ในรูปแบบการเข้ารหัสได้อีกด้วย ซึ่งงานวิจัยนี้มีการนำเสนอในปีพ.ศ. 2552 โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford คือ Craig Gentry ขั้นตอนวิธีที่เขานำเสนอนั้นมีชื่อว่า Fully Homomorphic Encryption (FHE) แต่ปัญหาของขั้นตอนวิธีนี้คือมันใช้เวลาในการทำงานนานมาก ซึ่งนักวิจัยจากทั้งสองสถาบันข้างต้นได้ปรับปรุงขั้นตอนวิธีการดังกล่าวให้ใช้เวลาประมวลผลน้อยลงโดยใช้วิธีการทางคณิตศาตร์ที่ีง่ายขึ้น ซึ่งตามข่าวบอกว่าอาจเร็วขึ้น 100 เท่า หรือ อาจถึง 1000 เท่า ผลที่ได้จากงานวิจัยนี้จะมีประโยชน์กับงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล ซึ่งในปัจจุบันนี้ข้อมูลต่าง ๆ นิยมเก็บไว้ในระบบคลาวด์ โดยข้อมูลถึงจะเข้ารหัสเอาไว้แต่ในวิธีการใช้งานแบบดั้งเดิมถ้าจะใช้ข้อมูลต้องถอดรหัสข้อมูลก่อน ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยได้ งานวิจัยนี้จึงน่าจะตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้

ที่มา: Weizmann Wonder Wander

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทำไมผมถึงรักในหลวง


ในวาระที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านได้เวียนมาครบอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปชั่วกาลนาน และข้าพระพุทธเจ้าขอปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะทำความดีถวายแด่พระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดีเคารพกฏหมายของบ้านเมือง และจะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

ไม่ได้เขียนบล็อกมานาน วันนี้ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องเขียนบล็อกให้ได้เพราะเมื่อปีที่แล้วไม่ได้เขียน และที่อยากเขียนถึงเรื่องนี้มากเพราะปีนี้มีบางกระแสบอกว่าคนไทยถูกยัดเยียดให้รักในหลวง ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมไม่ได้เป้นพวกคลั่งเจ้า และผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการแก้กม.มาตรา 112 เพราะผมคิดว่าในหลวงของเราท่านไม่ทรงกังวลกับการวิพากษ์วิจารณ์ จากการที่ได้ติดตามพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสในหลายโอกาส พระองค์ท่านรับสั่งอยู่เสมอว่าพระองค์ท่านยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นผมยังค่อนข้างเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรานี้เสียด้วยซ้ำ เพราะมีการนำเอากฏหมายมาตรานี้เอามาทำลายล้างกันทางการเมือง และบางครั้งการบังคับใช้กฏหมายยังทำอย่างไม่เหมาะสม แต่ผมขอไม่พูดเรื่องนี้วันนี้นะครับ

กลับมาเข้าเรื่องครับ คือผมได้ข่าวมาบางกระแสเหมือนกับมีการพูดว่า การที่คนไทยรักในหลวงเป็นเพราะเราได้รับการปลูกฝังมาจากการป้อนข้อมูล เช่นจากโรงเรียน จากพ่อแม่ จากสื่อ ฯลฯ ผมก็เลยลองกลับมานั่งนึกทบทวนดูว่าผมรักในหลวงเพราะเรื่องพวกนี้หรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ ผมเกิดในครอบครัวข้าราชการ พ่อกับแม่ผมเป็นข้าราชการ ผมกับน้องสาวพอโตขึ้นก็เป็นข้าราชการ เพราะเรื่องนี้หรือเปล่าผมถึงรักในหลวง คำตอบก็ยังคงเป็นคือไม่ใช่

ใช่ครับในวัยเด็กผมก็ได้รับข้อมูลจากพ่อแม่  แต่ถ้าเรื่องที่ในหลวงทรงทำให้ประชาชนเป็นเรื่องไม่จริง พ่อกับแม่ผมจะมาโกหกผมทำไม ท่านจะได้ประโยชน์อะไรจากการมาโกหกผม หรือว่าแบบเรียนที่เราเรียนหลอกลวงเรา ในเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน แต่มันก็ไม่ใช่ โครงการพระราชดำริที่เป็นคุณูปการกับประเทศอยู่ทุกวันนี้ก็ยังปรากฏเป็นหลักฐาน  การที่พระองค์ท่านเสด็จออกเยี่ยมประชาชนทั้งที่ไม่มีความจำเป็น พระองค์ท่านจะอยู่เฉย ๆ ก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลอาจต้องการอยู่แล้ว แต่พระองค์ท่านเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น พระองค์ท่านเลือกที่จะใช้สถานะของพระองค์ท่านในการทำให้ประชาชนของพระองค์ท่านได้รับความสะดวกสบายตามสิทธิที่เขาควรจะได้รับ ลองคิดดูนะครับข้าราชการในสมัยก่อนนี้หลายคนทำตัวเป็นเจ้านายประชาชนนะครับ ยิ่งอยู่ไกลออกไปยิ่งมีปัญหา (จริง ๆ ไม่ต้องสมัยก่อนหรอก สมัยนี้ก็ยังมี) แต่เมื่อพระองค์ท่านเสด็จไป พระองค์ก็ได้เห็นความยากลำบากของประชาชน จึงได้เกิดมีโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งจริง ๆ ด้วยโครงการพระราชดำริของพระองค์ท่าน ถ้าภาครัฐนำมาทำนำมาสานต่ออย่างจริงจัง ผมว่าประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากกว่านี้ (เห็นง่าย ๆ เรื่องน้ำ พระองค์ท่านรับสั่งไว้ตั้งแต่ปี 2538 แต่ไม่มีใครทำอย่างจริงจัง จนมาเกิดปัญหาในปีนี้) ไม่ต้องมานั่งรอให้นักการเมือง นักเลือกตั้งเข้ามาฉวยโอกาสจากความเดือดร้อนของพวกเขา

ดังนั้นผมเชื่อว่าตัวเองไม่ได้รักในหลวงเพราะถูกยัดเยียด และผมเชื่อว่าประชาชนอื่น ๆ อีกหลายคนที่รักในหลวงก็ไม่ได้เพราะถูกยัดเยียด แต่เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีให้แก่ปวงชนชาวไทย ผมไม่คิดว่าจะมีใครยัดเยียดให้ประชาชนกว่าค่อนประเทศเอารูปในหลวงไปไว้บูชาในบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขารักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน มีคำกล่าวว่าคนเราต่อให้ทำดีแค่ไหนก็อาจมีคนไม่ชอบอยู่ดี ดังนั้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนไม่รักพระองค์ท่าน ใครที่จะไม่รักในหลวงก็ไม่รักไปผมไม่ได้ต่อต้านหรือว่าอะไร และถ้ามีเหตุผลผมก็ยินดีที่จะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นด้วยได้ แต่ถ้าจะมากล่าวหาผมและคนอีกมากมายหลายคนในประเทศนี้ว่ารักพระองค์ท่านเพราะถูกยัดเยียดผมก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน