วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอขอบคุณนักกีฬาไทยในเอเชี่ยนเกมส์

ผมไม่ได้มาเขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่างจริง ๆ  ช่วงที่ไม่ได้มาเขียนมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งที่ดีและไม่ดี เรื่องดี ๆ ก็เช่นผลงานของนักกีฬาไทยในเอชี่ยนเกมส์  ส่วนเรื่องแย่ ๆ ก็เรื่องของนักการเมืองไทย เรื่องซากทารกที่เกิดจากการทำแท้งถึงสองพันกว่าศพที่พบที่วัดไผ่เงิน แต่วันนี้ขอพูดเรื่องดี ๆ ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะเป็นวันส่งท้ายของเอชี่ยนเกมส์พอดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นผมก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนก่อนครับที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกเราชาวไทยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเราจะได้เหรียญทองน้อยกว่าคราวที่แล้ว แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าดีนะครับ นักกีฬาทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจของนักสู้ โดยเฉพาะที่ประทับใจผมที่สุดก็คือทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรหญิง ซึ่งผมดูกี่ครั้งก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็คลิกเข้าไปดูก่อนได้เลยครับ



ดูกันแล้วประทับใจไหมครับ นอกจากประทับใจแล้วผมว่าเรายังได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากทีมวิ่งผลัดหญิงทีมนี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดจากการแข่งขันครั้งที่แล้ว (ครั้งที่แล้วทีมวิ่งผลัดหญิงไม่ได้เหรียญอะไรเลยเพราะส่งไม้พลาด) การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ ลองคิดดูนะครับ ในช่วงสุดท้ายใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้วเรายังตามจีนอยู่เลย ถ้านักกีฬาของเราคิดแค่ว่า "โอ้คนที่นำหน้าเราคือจีน เอาเถอะได้ที่สองก็ดีแล้ว" คนไทยก็คงไม่มีความสุขมากขนาดนี้

สุดท้ายก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนอีกครั้งไม่ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับมาหรือไม่ ขอขอบคุณที่ทุกคนได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาในการฝึกซ้อมและแข่งขันเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ ส่วนคนไทยก็ขออย่าเพียงชื่นชมเหรียญรางวัลที่นักกีฬาได้เท่านั้น เราทุกคนก็ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อเพื่อประเทศของเราเช่นกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พนักงานเซ็นทรัลเหมือนกันแต่ต่างกัน

วันนี้มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมาเล่าให้ฟังกันครับ จริงๆเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้วแต่ผมเพิ่งจะว่างมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟังวันนี้ คือเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก็พอดีไปเจอเข็มขัดเข้าเส้นหนึ่งเห็นว่าสวยดีก็เลยหยิบมาดู ก็มีพนักงานขายคนหนึ่งเข้ามาดูแลแนะนำ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจซื้อเพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป ประกอบกับเส้นเก่าที่ใช้อยู่ก็ใช้มาสิบกว่าปีจนแตกลายงาหมดแล้ว พนักงายขายได้ถามผมว่ามีบัตร The One หรือไม่เพราะจะได้ส่วนลดและสะสมแต้ม ซึ่งผมก็บอกว่าไม่มีพนักงานก็ถามอีกว่าแล้วคนในครอบครัวมีไหม ผมก็นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวผมน่าจะมีเพราะเป็นขาประจำ ก็เลยได้ให้ชื่อน้องสาวกับพนักงานไป ซึ่งพนักงานก็ไปค้นมาแล้วก็เจอจริง ๆ จากเหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกประทับใจกับพนักงานขายของคนนี้มาก และก็มีความรู้สึกดี ๆ กับเซ็นทรัลว่าอบรมพนักงานมาดี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันมาก็ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ต่อเซ็นทรัลของผมหายไปเกือบหมด

พนักงานขายได้นำผมมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวพม่าเป็นผู้หญิงดูค่อนข้างจะมีอายุแล้วกำลังจะทำเรื่องยกเว้น VAT สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งพนักงานขายที่ดูแลลูกค้าชาวพม่าคนนั้น ก็มาถามพนักงานเก็บเงิน ซึ่งเธอก็ตอบเสียงสะบัด ๆ เหมือนไม่พอใจว่า "ถามเขาสิว่ามีพาสต์พอร์ตไหม" ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็แสดงพาสต์พอร์ตให้ดู และก็ขอให้พนักงานขายช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เธอหน่อย ซึ่งพนักงานขายก็บอกว่าพนักงานเก็บเงินว่าเขาจะให้กรอกฟอร์มให้ด้วย พนักงานเก็บเงินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นไปอีก พร้อมทั้งตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ก็กรอกให้เขาไปซี" และก็ยังทำท่าทางเอามือแตะหน้าผากพร้อมทั้งบ่นว่า "จะให้ส่วนลดแล้วยังไม่ยอมกรอกเองอีก" ผมดูถึงตอนนี้แล้วต้องบอกว่าเสียความรู้สึกมาก คือตอนแรกผมก็คิดว่าพนักงานเก็บเงินอาจจะไม่พอใจพนักงานขายซึ่งมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาถาม แต่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่พอใจลูกค้าด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะไม่พอใจอะไรพนักงานขายก็ไม่ควรจะมาแสดงความไม่พอใจต่อหน้าลูกค้า ถ้าไม่พอใจกันเองก็ไปหาเวลาพูดคุยกันทีหลัง ส่วนการไม่พอใจลูกค้านี่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ นี่ไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย คือผมก็ไม่ได้ยึดติดว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรอกนะครับ คือถ้าลูกค้างี่เง่ามากจนมาละเมิดสิทธิของเรานี่ก็เชิญเลย แต่ในกรณีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการบริการนะครับ การที่ลูกค้าขอให้กรอกข้อมูลให้นี่ผมว่าก็ไม่เกินเลยนะครับเพราะตอนนั้นลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร และน่าจะคิดบ้างว่าลูกค้าก็มีอายุแล้ว เธออาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานเก็บเงินก็ไม่ใช่คนที่ต้องไปกรอกข้อมูลเองก็ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม การให้บริการดังกล่าวด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากจะทำให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย พนักงานเก็บเงินคนนั้นอาจจะคิดว่าลูกค้าเป็นคนพม่าฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมว่าภาษากายนี่มันเป็นภาษาสากลนะครับ ผมคิดว่าลูกค้าพม่าคนดังกล่าวรู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร

เอาละ่ครับนั่นคือเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้วก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นส่วนน้อยของพนักงานบริการที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมมีความเขื่อว่าพนักงานบริการส่วนใหญ่มีจิตใจบริการที่ดีเหมือนกับพนักงานขายของที่ขายของให้ผม แต่คนส่วนน้อยนี่ก็อาจจะทำให้สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาเสียหายได้นะครับ ดังนั้นก็อยากจะฝากเอาไว้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดีก่อน อย่าไปคิดว่าเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมการกระทำคงไม่มีผลอะไร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนี่ผมว่าการที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไทยนะครับ แต่เขามาเที่ยวเพราะเขาประทับใจคนไทย ประทับใจความมีใจให้บริการของคนไทย ก็ขอให้พวกเราโดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่บริการโดยตรงได้ตระหนักไว้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาตินะครับ นักท่องเที่ยวคนไทยก็ควรจะได้รับบริการในแบบเดียวกันด้วย ถ้าใครอยู่ในธุรกิจที่ต้องให้บริการแล้วคิดว่าไม่ชอบบริการใคร ก็ลาออกไปหางานอื่นทำเถอะครับ